ในอดีต การปลูกชาจะต้องใช้เมล็ดในการเพาะต้นอ่อน
ดังนั้นเจ้าของไร่จะปลูกต้นชาและปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติโดยไม่มีการแต่งกิ่ง
เมื่อต้นชาโตได้เต็มที่ ก็จะผลิตดอกและเมล็ดชา
เจ้าของไร่ก็อาศัยเมล็ดชาจากต้นชานำไปเพาะเป็นต้นอ่อน
และนำไปปลูกในแปลงที่เตรียมไว้ ต้นชาที่ปล่อยให้ขึ้นตามธรรมชาติบางต้นอาจจะมีความสูง
15 – 20 เมตร ก็ได้ ต้นชาที่เพาะจากเมล็ดเพื่อเก็บใบ
จะได้รับการตกต่งให้เป็นพุ่ม มีลักษณะคล้ายพัดที่คลี่ออก หรือลักษณะคล้าย รูปครึ่งวงกลม
มีความสูงไม่เกิน 1.5 เมตร
เพื่อสะดวกในการเก็บยอดใบชา
ปัจจุบัน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ทำให้ชาวไร่สามารถขยายพันธุ์ชาได้ด้วยการตอนหรือตัดกิ่งชำ
โดยจะคัดจากต้นชาที่แข็งแรงมีกิ่งก้านมาก และไม่มีโรค
เมื่อต้นอ่อนของชาโตได้ขนาดและมีลำต้นสมบูรณ์ ก็จะถูกย้ายไปปลูกในไร่ที่เตรียมไว้
ต้นชาที่นำไปปลูกใหม่นี้ เมื่อสูงประมาณครึ่งเมตร
ชาวไร่ก็จะตัดต้นทิ้งโดยเหลือโคนต้นไว้ประมาณ 6 – 10 นิ้ว
ต้นชาที่ถูกตัดนี้ก็จะแตกกิ่งใหม่ขึ้นมา
ชาวไร่ก็จะแต่งกิ่งให้เป็นพุ่มตามขนาดและความสูงที่ต้องการ
ระยะห่างของการปลูกขึ้นอยู่กับพื้นที่ โดยทั่วไปต้นชาแต่ละต้นจะปลูกห่างกันประมาณ 1
– 1.5 เมตร เพื่อสะดวกต่อการดูแลเอาใจใส่ และเก็บใบอ่อน
ต้นชาแต่ละต้นจะสามารถผลิตยอดอ่อนให้เก็บได้หลังจากปลูกได้ประมาณ 3 – 5 ปี
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่และอากาศ เมื่อต้นชาถูกเด็ดยอดอ่อนแล้ว
ก็จะใช้เวลาอีกประมาณ 15 – 30 วัน เพื่อจะสร้างยอดใหม่ขึ้นมา
เพื่อเก็บครั้งต่อไป แต่ถ้าต้นชาพันธ์ดีมีคุณภาพและปลูกในที่สูง
ซึ่งอุณหภูมิของอากาศเย็นกว่าบนพื้นราบ
ระยะเวลาที่ต้นชาใช้ไนการสร้างใบอ่อนให้สมบูรณ์ก็กินเวลามากกว่า
การเด็ดใบชาก็จะไม่ถี่เหมือนชาพันธุ์ธรรมดา ชาดีมีคุณภาพราคาแพงจะเด็ดกันแค่ปีละ 4
– 5 ครั้งเท่านั้นตามฤดูกาล
ที่มา : หนังสือ "ชา..Cha เลือกชาดื่ม ซื้อชาเป็น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น